สุนัขเป็นสัตว์เลี้ยงที่เรียกได้ว่าผู้คนนิยมนำมาเลี้ยงกันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ และยังเป็นสัตว์ที่อยู่เคียงข้างมนุษย์มาอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งทุกวันนี้ก็มีคนที่นิยมเลี้ยงสุนัขเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากความน่ารัก และนิสัยขี้เล่นของสุนัขแล้ว ยังมีการศึกษาวิจัยจากหลายๆ แห่งที่ระบุว่า การเลี้ยงสุนัขนั้นมีประโยชน์ต่อเรามากจริงๆ ซึ่งสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ยังมีประโยชน์ที่เอื้อต่อจิตใจของมนุษย์ได้ในทุกช่วงวัย โดยมีทั้งข้อดีทางตรงและทางอ้อมในเวลาเดียวกัน ดังต่อไปนี้
10 ข้อดีของการเลี้ยงสุนัข
#1 เป็นสหายผู้ซื่อสัตย์ที่คอยเคียงข้างกันเสมอ
การหาเพื่อนแท้ดีๆ สักคนมาคอยอยู่เคียงข้าง บางทีสำหรับหลายๆ คนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะหากันได้ง่ายๆ แต่ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไป ถ้าหากได้ลองเลี้ยงสุนัขไว้สักตัว ชีวิตคุณจะไม่เหงาอีกต่อไป คุณจะมีสุนัขแสนน่ารักที่คอยมอบความรักให้แก่คุณ ยิ่งถ้าคอยดูแลเขาดีเท่าไหร่ เขาจะรู้สึกว่าคุณคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา และพร้อมที่จะภักดีกับคุณในฐานะเจ้านายที่แสนดี กลับกันเราอาจจะมองว่าเขาคือ ส่วนหนึ่งของครอบครัว หรือเป็นสหายแท้ที่จะคอยอยู่เคียงข้างกับเราตลอดไป
#2 ช่วยเฝ้าบ้านและเตือนภัยคุกคามจากภายนอกได้
การเลี้ยงสุนัขเพื่อใช้เฝ้าบ้าน มีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่มนุษย์จะเริ่มมีอารยธรรมอีก เดิมทีวัตถุประสงค์หลักของการเลี้ยงสุนัขก็คือ เลี้ยงเพื่อใช้เฝ้าบ้าน หรือคอยเตือนภัยอยู่แล้ว และเชื่อว่าในปัจจุบันก็ยังมีหลายคนที่อยากเลี้ยงสุนัขไว้ เพื่อใช้เฝ้าบ้าน ซึ่งในกรณีที่เราไม่อยู่บ้านต้องออกไปทำธุระข้างนอกบ้าน การมีสุนัขเลี้ยงไว้ที่บ้านก็จะสามารถคอยเป็นหูเป็นตาแทนเราได้ และถ้าหากมีคนจากภายนอกเข้ามาในบ้าน สุนัขก็จะเห่า เปรียบเสมือนการส่งเสียงเตือนให้ทราบถึงการมาของบุคคลแปลกหน้า หรือภัยคุกคามที่กำลังเข้ามา
#3 ทำให้มีความรับผิดชอบมากขึ้น
แน่นอนว่าการเลี้ยงสุนัขจะเป็นการฝึกให้ตัวเองต้องมีความรับผิดชอบที่มากขึ้น เพราะมันคือการที่เราจะต้องดูแลอีกหนึ่งชีวิต เราต้องคอยให้น้ำให้อาหาร พาไปอาบน้ำ พาไปเดินเล่นออกกำลังกาย หรือเวลาที่สุนัขของเราไม่สบายก็ต้องพาไปหาหมอ และถ้าหากเราเลือกที่จะเพิกเฉย สุนัขที่เราเลี้ยงก็จะป่วยได้เนื่องจากได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอ ดังนั้น การทำสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นประจำ ถือเป็นการฝึกความรับผิดชอบไปในตัว และเมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว นั่นหมายความว่าคุณมีความรับผิดชอบมากขึ้นแล้ว
#4 สามารถยกระดับจิตใจให้ดียิ่งขึ้นได้
เวลาที่เลี้ยงสุนัขไว้ภายในบ้าน ช่วงแรกๆ คุณอาจจะต้องรับมือกับความซุกซนของเจ้าสุนัขซึ่งเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน ไม่ว่าจะทำเข้าของกระจัดกระจาย หรือทำพื้นบ้านเลอะเทอะก็ตาม ใจจริงเราก็คงไม่อยากจะดุด่า หรือลงไม้ลงมือกับเขา เพราะเขาอาจจะไม่เข้าใจ สิ่งที่เราสามารถทำได้ มีเพียงการให้อภัย ซึ่งจะทำให้คุณรู้จักที่จะเสียสละ มีเมตตามากยิ่งขึ้น
ผลจากการศึกษาพบว่าครอบครัวที่เลี้ยงสุนัขมักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น และสมาชิกในครอบครัวจะมีลักษณะนิสัยที่อ่อนโยน รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นและชอบช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งเป็นเพราะสุนัขที่พวกเขาเลี้ยงคอยทำหน้าที่เป็นสะพานที่เชื่อมความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวไว้ นั่นทำให้ทุกคนในครอบครัวรู้จักที่จะเอาใจใส่ มอบความรักให้แก่กัน และคอยแบ่งบันสิ่งดีๆ เหล่านี้ให้แก่ผู้อื่นเช่นกัน
#5 ช่วยลดความตึงเครียดและยังช่วยรักษาสภาวะซึมเศร้าได้
หลายๆ คนมีแต่เรื่องให้ต้องเผชิญในแต่ละวัน ทั้งปัญหาและความท้าทายในการทำงาน หรือการต้องอยู่ห่างจากครอบครัว คนรัก จนทำให้จิตใจเหนื่อยล้า หรือเกิดสภาวะซึมเศร้า การที่มีสัตว์เลี้ยงแสนน่ารักอย่างสุนัขคอยมาเป็นเพื่อนเล่น ก็สามารถทำให้จิตใจเบิกบาน และหายจากอาการเหนื่อยล้าได้
ทั้งนี้คนที่เลี้ยงสุนัขจะมีความเสี่ยงต่อสภาวะซึมเศร้าน้อยกว่าคนที่ไม่ได้เลี้ยง และสำหรับคนที่มีสภาวะซึมเศร้า การหาสุนัขมาเลี้ยงไว้สักตัวก็จะช่วยให้อาการของคุณดีขึ้นได้ ด้วยความน่ารักและความขี้อ้อนของเขาจะทำให้คุณรู้สึกว่ามีเขาคอยอยู่ข้างๆ ในวันที่คุณรู้สึกไม่มีใคร
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจากหลายสำนักระบุว่า แค่การมอง สัมผัสกับสัตว์เลี้ยง หรือแม้กระทั่งการจับมือกันระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง จะสามารถช่วยลดความตึงเครียดลงได้ โดยสมองจะทำการหลั่งสารออกซิโทซิน และเพิ่มระดับฮอร์โมนเซโรโทนิน ซึ่งจะทำให้เกิดความสุข ช่วยควบคุมอารมณ์และอุณหภูมิในร่างกาย และยังลดระดับของฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่คอยกระตุ้นความตื่นกลัว ซึ่งทำให้ความเครียดลดลงไปได้ และยังทำให้เกิดการผ่อนคลาย ตลอดจนทำให้อารมณ์ดีขึ้นได้อีกด้วย
ในปัจจุบันมีหลายๆ บริษัทที่กำลังให้ความสนใจและศึกษาเกี่ยวกับการนำสุนัขไปทำงานด้วยอย่างจริงจัง ซึ่งจากการศึกษานั้นแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์เลี้ยงในขณะที่กำลังทำงานจะมีระดับของความเครียดลดลงตลอดทั้งวัน และในช่วงพักระหว่างการทำงาน ผู้คนก็ยังสามารถมาเล่นกับสัตว์เลี้ยง เพื่อลดความเหนื่อยล้าและผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานได้ ซึ่งเปรียบเสมือนการชาร์จแบตเตอรี่เติมพลังงานและกำลังใจให้กับผู้คน เพื่อที่จะสามารถกลับไปทำงานต่อไปได้
#6 ช่วยให้สามารถเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น
ถ้าหากว่าในกรณีที่ตัวเองเป็นคนที่ค่อนข้างจะชอบเก็บตัว ขาดความมั่นใจในตัวเอง หรือคิดว่าตัวเองมีปัญหาในการเข้าสังคม การที่เรามีสัตว์เลี้ยงคอยอยู่ข้างกายก็เปรียบเสมือนมีที่พึ่งพิงทางสังคม ที่จะช่วยในการลดอารมณ์การแสดงออกในกริยาที่ดูก้าวร้าวและทำให้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง รวมไปถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้อีกด้วย
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยควีนส์ ในเรื่องพฤติกรรมของคนแปลกหน้ากว่า 1,800 คนที่มีปฏิกิริยาต่อกลุ่มตัวอย่างผู้หญิง 6 แบบ ดังต่อไปนี้
- ผู้หญิงที่มาพร้อมกับลูกสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์
- ผู้หญิงที่มาพร้อมกับสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์ที่โตเต็มวัย
- ผู้หญิงที่มาพร้อมกับสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์
- ผู้หญิงที่ถือตุ๊กตาหมี
- ผู้หญิงที่ถือกระถางต้นไม้
- ผู้หญิงที่มาตัวเปล่า
พบว่า ผู้หญิงที่มาตัวเปล่ามักจะถูกเมินมากกว่าผู้หญิงที่ถือตุ๊กตาหมีกับกระถางต้นไม้ ซึ่งในขณะเดียวกันพวกเธอจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเธอมาพร้อมกับสุนัขพันธุ์ต่างๆ และโดยเฉพาะสุนัขที่ดูจะเป็นมิตรอย่างพันธุ์ลาบราดอร์ ซึ่งจะทำให้พวกเธอกลุ่มนี้ได้รับรอยยิ้ม รวมถึงการตอบสนองด้วยคำพูดที่มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
เมื่อคุณได้ลองพาสุนัขออกไปเดินเล่นนอกบ้านแล้ว มันก็จะเป็นเหมือนกับสะพานที่คอยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนอื่นๆ เพราะด้วยสุนัขของคุณจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นจะกล้าเข้ามาทักทายคุณก่อน ซึ่งใจจริงแล้วเขาอาจจะอยากเข้ามาทักทายคุณก็ได้ แต่แค่เขาอาจจะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ดังนั้น นี้จึงอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการมีเพื่อนใหม่ๆ
#7 ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆ
จากงานวิจัยของ ดร.แคโรไลน์ เครเมอร์ จากมหาวิทยาลัยโทรอนโต ที่ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสารของสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน ได้ระบุไว้ว่าคนที่เลี้ยงสุนัขจะมีโอกาสเสียชีวิตจากทุกสาเหตุน้อยกว่าคนทั่วไป ซึ่งจากการวิเคราะห์จะพบว่าการที่มีสุนัขคอยช่วยปกป้องจากการเสียชีวิตในทุกสาเหตุแล้ว ยังเชื่อมโยงกับการที่มีอัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุต่างๆ ที่ลดลงถึง 24% โดยนักวิจัยได้ให้เหตุผลไว้ว่า คนที่มีสัตว์เลี้ยงมักจะมีสุขภาพจิตที่ดีกว่า และยังมีวิถีชีวิตในแต่ละวันที่ตื่นตัวมากกว่าด้วย
#8 ช่วยลดอาการเจ็บป่วยให้น้อยลง
หลายคนอาจจะคิดว่าการกำจัดเชื้อโรคให้หมดจนไม่เหลือเลยนั้น คือการป้องกันตัวเองจากอาการเจ็บป่วย แต่แท้จริงแล้วการที่เรากำจัดเชื้อโรคออกไปหมดจนไม่เหลือเลยนั้น จะยิ่งทำให้เจ็บปวดได้ง่ายขึ้น เพราะว่าร่างกายของเราจะเจอกับเชื้อโรคได้น้อยลง ส่งผลทำให้จุลินทรีย์ที่อยู่ในร่างกายของเราทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ
ซึ่งการเลี้ยงสุนัขจึงเท่ากับการที่เราได้เจอกับเชื้อโรคหลากหลายชนิด ส่งผลทำให้ร่างกายของเราจะมีภูมิต้านทานที่ดีกว่า ซึ่งจะมีอาการเจ็บปวดที่น้อยกว่า หรือไม่รุนแรงเท่ากับคนทั่วไปที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัข แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ควรที่จะหมั่นรักษาความสะอาดให้กับสุนัขของเราอยู่เสมอ
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจากประเทศฟินแลนด์ที่ระบุไว้ว่า ในจำนวนกลุ่มตัวอย่างเด็ก 397 คน ระหว่างช่วงปี ค.ศ. 2002 – 2005 ทั้งที่อาศัยอยู่ในครอบครัวที่เลี้ยงสุนัข และไม่ได้เลี้ยงสุนัข 31% ของทั้งหมด พบว่าเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่เลี้ยงสุนัขจะมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่าเด็กจากครอบครัวที่ไม่ได้เลี้ยงสุนัข และงานวิจัยในปี 2011 ยังระบุอีกว่า เด็กอายุต่ำกว่า 4 ขวบ ในครอบครัวที่เลี้ยงสุนัขนั้น มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคผิวหนังน้อยมาก รวมไปถึงยังช่วยให้เด็กๆ มีภูมิคุ้มกันที่เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
#9 ช่วยชี้ให้เห็นถึงการเกิดโรคได้
ในปัจจุบันมีงานวิจัยจากหลากหลายแหล่งที่ช่วยสนับสนุนว่า การเลี้ยงสุนัขนั้นสามารถช่วยระบุ หรือตรวจหาโรคในร่างกายของมนุษย์ซึ่งเป็นเจ้าของของมันได้ เช่น โรคเบาหวาน สุนัขก็สามารถรับรู้ถึงปริมาณของระดับน้ำตาลในเลือดที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ด้วยการได้รับกลิ่นที่เปลี่ยนไปของเจ้าของ ทำให้สุนัขจะสามารถรับรู้ได้ในทันที จากนั้นก็จะส่งเสียงเห่าเตือน
นอกจากนี้สุนัขบางตัวยังสามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคนที่กำลังจะเกิดอาการลมชักได้ก่อนที่จะแสดงอาการออกมาประมาณ 15 – 45 นาที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลุ่มผู้หลายๆ คนปลอดภัยจากอุบัติเหตุดังกล่าวที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาในตอนที่เกิดอาการลมชักได้
ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขยังมีความสามารถในการตรวจหามะเร็งบางชนิดในมนุษย์ได้อีกด้วย ซึ่งมีหญิงสาวคนหนึ่งได้เล่าว่า สุนัขของเธอที่เลี้ยงไว้ ชอบมาดมกลิ่นบริเวณขาของเธออยู่บ่อยครั้ง พอเธอได้ไปตรวจ ก็พบว่าตัวเองมีเนื้อร้ายอยู่ในตัว ซึ่งมันสามารถรับรู้ได้จากกลิ่นที่เกิดจากสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายที่เซลล์มะเร็งสร้างขึ้นในอวัยวะนั้นๆ และในปัจจุบันก็มีการฝึกให้สุนัขทำหน้าที่ในการตรวจหามะเร็งแล้วด้วย
#10 สามารถบำบัดพฤติกรรมและช่วยฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยได้
การนำสัตว์เลี้ยงมาช่วยในการบำบัดจิตใจของผู้ป่วยที่ป่วยหนักนั้นได้รับการยอมรับมานานแล้วว่าสามารถช่วยเยียวยาจิตใจ และผ่อนคลายความเครียดของผู้ป่วยได้จริง ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นก็มีการให้บริการบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยงมากกว่า 50,000 ตัวเลยทีเดียว ซึ่งบริการบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยงแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหลายประเทศ มีตั้งแต่นอร์เวย์ไปจนถึงบราซิลกันเลยทีเดียว
ในการบำบัดด้วยสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข ซึ่งจะคอยทำหน้าที่เป็นผู้เยียวยาผู้ป่วย โดยจะต้องได้รับการฝึกฝนและมีใบรับรองกำกับอย่างเป็นทางการจากองค์กรที่เชื่อถือได้ ก่อนที่จะทำการส่งตัวสุนัขเพื่อไปทำการบำบัดตามโรงพยาบาล หรือตามศูนย์บำบัดต่างๆ
ขั้นตอนการใช้สุนัขในการบำบัดผู้ป่วย ส่วนใหญ่จะเป็นการกระตุ้นพฤติกรรมและจิตใจเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียด โดยการกระตุ้นให้ผู้ป่วยอยากที่จะเล่นกับสุนัข ซึ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นเด็กและกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นคนชราจะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่างอย่างชัดเจนกว่ากลุ่มผู้ป่วยที่เป็นวัยผู้ใหญ่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จากการบำบัดพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น มีความร่าเริงและกำลังใจที่มากขึ้น
จากข้อดีทั้งหมดที่ได้นำเสนอไปข้างต้นคงจะทำให้ใครหลายคนเริ่มที่อยากจะลองเลี้ยงสุนัขขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น อยากจะให้จำไว้ว่าการเลี้ยงสุนัขนั้นจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงด้วยความรักมากกว่าการเลี้ยงไว้เพื่อใช้งาน และเมื่อเราเลือกที่จะรับเขามาเลี้ยงแล้ว เราก็ควรจะหมั่นดูแลเอาใจใส่ให้กับสุนัขของตัวเองอย่างเต็มที่ให้เหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว และเมื่อเราดูแลเอาใจใส่เขาอย่างเต็มที่แล้ว เราก็จะได้รับความรักสุดวิเศษที่เขามอบกลับมาให้แก่เราด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนจะเลี้ยงก็ควรที่จะศึกษาข้อมูลที่ควรรู้ เพื่อให้พร้อมสำหรับการต้อนรับสมาชิกใหม่น้องใหม่ที่น่ารักของเรานั่นเอง